จากโรมานอสที่ 3 ถึงมิคาเอลที่ 5 ค.ศ. 1028 - 1042 ของ จักรพรรดินีโซอี_พอร์ฟีโรเกนิตา

ภาพขนาดเล็ก จักรพรรดินีโซอีทรงสั่งโกนพระเกศาของเจ้าหญิงธีโอโดรา พระขนิษฐา เพื่อบังคับให้เข้าสู่พระศาสนา

หลังจากทรงใช้เวลาหลายปีประทับร่วมกับพระขนิษฐา จักรพรรดินีโซอีทรงเกลียดชังเจ้าหญิงธีโอโดรา[6] จักรพรรดินีโซอีทรงชังจูงให้จักรพรรดิโรมานอสแต่งตั้งหนึ่งในองครักษ์ของจักรพรรดิเป็นผู้ปกครองของเจ้าหญิงธีโอโดรา โดยมีคำสั่งให้ลอบสอดแนมเจ้าหญิง[14] ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าหญิงธีโอโดรสทรงถูกกล่าวหาว่าวางแผนช่วงชิงราชบัลลังก์โดยครั้งแรกร่วมมือกับเจ้าชายพรีเซียนในปีค.ศ. 1030 ตามมาด้วยร่วมมือกับคอนสแตนติน ไดโอจีนิส ผู้ว่าราชการจังหวัดซีร์เมียมในปีค.ศ. 1031[15] จักรพรรดินีโซอีทรงกล่าวหาพระขนิษฐาว่าทรงมีส่วนในการวางแผนสมคบคิด และเจ้าหญิงธีโอโดราถูกส่งไปคุมขังที่อารามเปตริออน จักรพรรดินีโซอีเสด็จเยี่ยมพระขนิษฐาหลังจากนั้นและทรงบังคับให้พระขนิษฐาสาบานตนเข้าสู่พระศาสนา[16]

จักรพรรดินีโซอีทรงหมกมุ่นอยู่แต่การดำรงไว้ซึ่งราชวงศ์มาซิโดเนีย[5] พระนางทรงอภิเษกสมรสกับโรมานอสขณะมีพระชนมายุถึง 50 พรรษาแล้วแต่พระนางก็ทรงพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ทรงพระครรภ์ พระนางทรงพึ่งเวทมนตร์คาถา เครื่องราง และน้ำยาขนานต่างๆ แต่ก็ไม่เป็นผล[17] ความล้มเหลวในการตั้งครรภ์ทำให้ทั้งสองพระองค์ห่างเหินกัน และจักรพรรดิโรมานอสทรงปฏิเสธที่จะประทับบรรทมร่วมกับพระมเหสี[18] จักรพรรดิโรมานอสทรงจำกัดการใช้จ่ายของพระมเหสีและให้ความสนพระทัยในพระนางเพียงน้อยนิด[19]

จักรพรรดินีโซอีทรงพิโรธและไม่พอพระทัย จึงทรงมีเรื่องอื้อฉาวกับบุรษคนอื่นๆ ส่วนจักรพรรดิโรมานอสทรงยอมอดทนและมีพระสนมลับเอง[20] ในปีค.ศ. 1033 จักรพรรดินีโซอีทรงหลงรักข้าราชบริพารหนุ่มรูปงามที่ชื่อว่า มิคาเอล พระนางทรงตรัสโอ้อวดคนรักของพระนางอย่างเปิดเผยและทรงตรัสว่าจะทำให้เขากลายเป็นจักรพรรดิ เมื่อได้ยินข่าวลือ จักรพรรดิโรมานอสทรงหวาดหวั่นและทรงไปเผชิญหน้ากับมิคาเอล แต่มิคาเอลก็ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้[19]

ภาพขนาดเล็ก พระราชพิธีอภิเษกสมรสของจักรพรรดินีโซอีกับจักรพรรดิมิคาเอลที่ 4

ในต้นปีค.ศ. 1034 จักรพรรดิโรมานอสทรงพระประชวร และเป็นที่เชื่อได้ว่าจักรพรรดินีโซอีกับมิคาเอลวางแผนลอบวางยาพิษพระองค์[21] ในวันที่ 11 เมษายน จักรพรรดิโรมานอสสวรรคตขณะสรงน้ำในอ่างสรงน้ำ[20] ตามคำรายงานของ มิคาเอล เซลโลส ข้าราชสำนักและต่อมาคือนักพงศาวดาร ระบุว่า ผู้ติดตามคนหนึ่ง "จับพระเศียรของพระองค์ขึ้นจากน้ำ และพยายามทำเหมือนจะบีบพระศอของพระองค์"[21] จอห์น สไกลิตเซส เขียนถึงง่ายๆ ว่า จักรพรรดิโรมานอสถูกจับกดน้ำตามคำสั่งของมิคาเอล[21] มัทธิวแห่งอีเดสซาบันทึกว่าจักรพรรดินีโซอีวางยาพิษปลงพระชนม์จักรพรรดิโรมานอส[21]

จักรพรรดินีโซอีทรงอภิเษกสมรสกับมิคาเอล ในวันเดียวกับที่จักรพรรดิโรมานอสที่ 3 สวรรคต[5] วันต่อมาทั้งสองพระองค์ได้เรียกอัครบิดร อเล็กซิออสแห่งคอนสแตนติโนเปิล มาทำพิธีราชาภิเษกให้แก่จักรพรรดิพระองค์ใหม่[22] แม้ว่าในตอนแรกเขาจะปฏิเสธที่จะทำพิธีครองราชย์ให้ แต่จักรพรรดินีทรงจ่ายทองคำให้เขา 50 ปอนด์เขาจึงเปลี่ยนใจ[5] เขาจึงดำเนินการสวมมงกุฎให้มิคาเอลเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ เฉลิมพระนามว่า จักรพรรดิมิคาเอลที่ 4 จนกระทั่งพระองค์สวรรคตในปีค.ศ. 1041[23][24]

แม้ว่าจักรพรรดินีโซอีทรงเชื่อว่าจักรพรรดิมิคาเอลเป็นพระสวามีที่เอาใจใส่พระนางมากกว่าจักรพรรดิโรมานอส แต่พระนางก็ทรงคิดผิด จักรพรรดิมิคาเอลที่ 4 ทรงกังวลว่า จักรพรรดินีโซอีอาจจะทำให้พระองค์พบจุดจบเหมือนจักรพรรดิโรมานอสได้[25] ดังนั้นพระองค์จึงกีดกันจักรพรรดินีโซอีออกจากการเมือง พระองค์จึงมอบพระราชอำนาจทั้งหมดไปให้พระเชษฐา คือ จอห์น เดอะ ออร์ฟาโนโทรพรอส ซึ่งเป็นขันที[26] จักรพรรดินีโซอีทรงถูกกักบริเวณแต่เพียงไกนาซีอุมของพระราชวัง และทรงถูกเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด[25] จักรพรรดินีผู้ไม่ทรงพอพระทัยพยายามสบคบคิดต่อต้านจอห์นแต่ไม่เป็นผล[5]

ในปีค.ศ. 1041 จักรพรรดิมิคาเอลกำลังใกล้สวรรคต[27] ขันทีจอห์นมีความกระตือรือร้นที่จะคุมอำนาจไว้ในมือของเขา เขาจึงบีบบังคับให้จักรพรรดินีโซอี รับมิคาเอล บุตรชายในน้องสาวของเขาและจักรพรรดิมิคาเอลที่ 4 เป็นพระราชโอรสบุญธรรม[20] ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1041 จักรพรรดิมิคาเอลที่ 4 สวรรคต โดยปฏิเสธคำขอสุดท้ายของพระมเหสี ที่ประสงค์จะเข้าเฝ้าพระองค์อีกครั้ง[28] และพระนัดดาของพระองค์ได้ครองราชย์เป็น จักรพรรดิมิคาเอลที่ 5 คาลาฟาเตส[29][30]

เหรียญทองฮิสตาเมนอนปรากฏพระบรมสาทิสลักษณ์จักรพรรดินีโซอีและจักรพรรดินีธีโอโดรา ในปี 1042

แม้ว่าจักรพรรดิมิคาเอลที่ 5 จะทรงให้คำมั่นว่าจะให้การเคารพจักรพรรดินีโซอี แต่พระองค์ก็สั่งเนรเทศพระนางไปยังอารามอย่างทันทีทันใดที่เกาะปรินกีปัสบนทะเลมาร์มารา ด้วยข้อกล่าวหาว่าทรงวางแผนปลงพระชนม์จักรพรรดิ พระนางทรงถูกบังคับให้ออกบวชและปวารณาตนสู่ภาคีศาสนา[31] การปฏิบัติต่อรัชทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายของราชวงศ์มาซิโดเนียนเช่นนี้ทำให้เกิดการลุกฮือจลาจลในคอนสแตนติโนเปิล จักรพรรดิมิคาเอลที่ 5 ทรงหมดหวังที่จะรักษาราชบัลลังก์ต่อไปได้ จึงต้องให้จักรพรรดินีโซอีเสด็จกลับมาจากปรินกีปัส เพื่อให้พระนางปรากฏตัวให้พสกนิกรเห็น[32] แต่ความพยายามของเขาที่จะปกครองเป็นประมุขร่วมกับพระนางต่อไปนั้นไร้ผล ในวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1042 กลุ่มประชาชนที่ก่อจลาจลเข้าโค่นจักรพรรดิมิคาเอลที่ 5 ออกจากราชบัลลังก์ พวกเขาไม่ได้สนับสนุนเพียงแค่จักรพรรดินีโซอีเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนเจ้าหญิงธีโอโดรา พระขนิษฐาของพระนางด้วย[33]

คณะผู้แทนนำโดยขุนนางคือ คอนสแตนตินอส คาบาซิลัส[34] เดินทางไปยังอารามเปตริออน เพื่อกราบทูลเชิญให้เจ้าหญิงธีโอโดราเสด็จกลับมาเป็นจักรพรรดินีร่วมกลับพระเชษฐภคินี ด้วยเจ้าหญิงธีโอโดราทรงเคยชินกับวิถีการทางศาสนา พระนางจึงปฏิเสธพวกเขาและทรงหลบไปประทับในส่วนโบสถ์คอนแวนต์ ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์บังคับอุ้มพระนางกลับเมืองหลวง[33] ในการประชุมที่ฮาเกียโซเฟีย ประชาชนได้นำพาเจ้าหญิงธีโอโดราผู้ทรงโกรธเกรี้ยวมารับฟังการประกาศเป็นจักรพรรดินีร่วมกับจักรพรรดินีโซอี[35] หลังจากพระราชพิธีราชาภิเษกของจักรพรรดินีทั้งสอง ประชาชนได้บุกเข้าพระราชวัง และทำให้จักรพรรดิมิคาเอลที่ 5 ต้องหลบหนีไปอยู่ในอาราม[36]

ใกล้เคียง

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จักรพันธ์ ครบุรีธีรโชติ จักรพรรดิโชวะ จักรพรรดิเมจิ จักรพรรดิ จักรพรรดิยงเจิ้ง จักรพรรดิคังซี จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย จักรพรรดิเปดรูที่ 1 แห่งบราซิล จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวี